12 คำศัพท์ที่ต้องรู้ในโลกออนไลน์
- Mr. N
- Jun 16, 2018
- 2 min read

สำหรับหลายๆคนที่บางทีไปอ่านโพสแล้วไม่เข้าใจ แนะนำให้อ่านอันนี้ก่อนเลย เพราะบางทีที่เราไม่เข้าใจเพราะเราไม่รู้ว่าศัพท์เทคนิคมันแปลว่าอะไร ก็เหมือนอ่านภาษาอังกฤษที่ไม่รู้คำศัพท์ ต่อให้เข้าใจโครงการสร้างประโยค ก็ไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี
ทั้งนี้แน่นอนว่าคำศัพท์ในโลกออนไลน์นั้นมีมากมาย ทาง Adsvantage Media ขอนำเสนอคำศัพท์พื้นฐานที่ควรรู้ เป็นรากฐานสำหรับความเข้าใจ 12 คำ ที่เป็นคำยอดฮิต และจะช่วยให้คุณเข้าใจเนื้อหาอื่นๆในเวลาอันสั้นได้มากขึ้น :)
1. Reach
Reach หรือในภาษาไทยเรียกว่า "การเข้าถึง" จะเป็นรูปแบบการนำที่สนใจแต่ปริมาณคนที่จะเห็นโฆษณา ดังนั้น Metric นี้จะค่อนข้างที่จะสนใจ intention น้อยที่สุด กล่าวคือจาก Targeting ที่เราเลือกเช่น อายุ 25-35 ในกรุงเทพฯ ที่สนใจกีฬา ในบางแพลตฟอร์ม ระบบจะส่งหาแต่คนกลุ่มที่เราเลือก ในปริมาณมากที่สุด ส่งผลให้ราคาต่อหัวน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่บางแพลตฟอร์มจะเป็นการนับปริมาณของคนที่ได้รับสื่อ ซึ่งวิธีการจะคล้ายๆกับสื่อดั้งเดิม (Traditional Media) เช่น ทีวี หนังสือพิมพิ์ วิทยุ แต่สื่อดั้งเดิมจะทำได้แต่การกะปริมาณ ขณะที่สื่อออนไลน์จะแม่นยำกว่า
2. Impression
Impression หรือ "การเห็น" (เทียบเท่ากับ Eyeball ของสื่อออฟไลน์) จะเป็นสเต็ปต่อเนื่องมาจาก Reach โดยสเต็ปนี้คือ หลังจากที่โฆษณาส่งถึงผู้รับในโลกออนไลน์แล้ว ผู้รับจะทำการเปิดผ่าน เน้นคำว่าเปิดผ่าน แปลว่าผู้รับอาจจะหยุดดู หรือไม่หยุดดูก็ได้ แต่อย่างน้อยต้องมีการผ่านตา ซึ่งถ้าทำให้เข้าใจง่ายๆคือการที่โฆษณาไปโชว์บนหน้าจอ อย่างเช่นใน Facebook คือโฆษณาปรากฎบน Feed, หรือ Google Adsense คือแสดงบนเว็ปไซต์แบนเนอร์ และ/หรือ Youtube
3. View
View หรือ Video View จะเป็น Metric ที่ใช้นับเมื่อ Artwork ของเราอยู่ในฟอร์แม็ต VDO โดยจะเป็น Metric ที่เพิ่มขึ้นมา เพิ่มเติมจาก Impression แปลว่าเมื่อเราเลือกยิงโฆษณาด้วย VDO แล้วเราจะเห็นทั้ง Impression และ VDO View ทั้งนี้ View ของแต่ละแพลตเตอร์จะแตกต่างกันไป โดยของ Facebook จะเลือกได้ว่าจะนับที่ 2,3, หรือ 10 วินาที ขณะที่ Youtube จะรับที่ 30 วินาที หรือน้อยกว่านั้นถ้า VDO สั้นกว่า 30 วินาที สาเหตุที่การนับ View ของสองค่ายหลักแตกต่างกันเนื่องจาก Viewability standard ตั้งไว้ขั้นต่ำ 1 วินาที
4. Click
คลิก ชื่อและความหมายก็ค่อนข้างจะตรงตามชื่อเลย คือหลังจากคนเห็นโฆษณาแล้ว เมื่อสนใจก็จะคลิกโฆษณา โดยระบบก็จะแสดงจำนวนการคลิกของคนที่รับชมโฆษณา ทั้งที่ถ้าบนแพลตฟอร์มอย่างเช่น Facebook จำนวนคลิก จะมีลายละเอียดเพิ่มขึ้นเช่น Click (All) หรือ Click (Link Click) ซึ่งถ้าเราสนใจจำนวนคนคลิกเพื่อไปที่เว็ปไซต์ก็ควรมอง Click (Link Click) แทน เพราะ Click (All) จะแสดงทุกอย่างรวมถึงการกดไลค์ คอมเม้นท์ และแชร์ด้วย
5. Conversion
คอนเวอร์ชั่น ส่วนมากจะเห็นในเว็ปไซต์ที่เก็บลีด (lead generation) ซึ่งก็คือเก็บรายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมลล์ เพื่อให้ Telesales ทำการติดต่อกลับ หรือในเว็ปไซต์อีคอมเมิร์ช (E-commerce) โดยเราสามารถติดตั้ง Goal สำหรับคอนเวอร์ชั่นได้ เช่นตั้งให้เป็น lead, purchase, registration ผ่านทาง Google tag manager หรือ Facebook Pixel ได้
6. Engagement
Engagement หรือ "การมีส่วนร่วม" คือการแสดงจำนวนของคนที่มีปฏิกริยาที่เห็นโฆษณาของเรา ตัวอย่างเช่น การกด Like, Comment, Share ของโพสที่เราโฆษณาบน Facebook โดยบน Facebook นั้นค่า Engagement จะรวม Like, Comment, Share เข้าด้วยกันและแสดงผลเป็นเลขเดียว
7. Traffic
ผู้คนเข้าเว็ปไซต์ หรือ Traffic คือการแสดงปริมาณจำนวนผู้เข้าชมเว็ปไซต์ สมมติถ้าเราเปิดร้านสะดวกซื้อ หรือร้านโชห่วย Traffic เปรียบได้กับจำนวนคนเข้าร้าน ดังนั้นตัวเลขนี้โดยทั่วไปยิ่งสูงยิ่งดี แต่ก็มีข้อควรระวัง เพราะถ้า Website traffic สูง แต่เลข Bounce rate (ซึ่งเราจะอธิบายต่อด้านล่าง) สูงด้วย อาจแปลได้ว่าเป็น Traffic ที่ไม่มีคุณภาพ คือเหมือนกับเข้าร้านแล้วออกทันที ไม่ทันจะได้แวะ แต่ถ้าเลข Bounce rate ต่ำ ขณะที่ Traffic สูงจะดีกว่ามาก เหมือนกับเป็นร้านที่มีลูกค้าประจำ
8. Engagement rate (%Engagement)
Engagement rate หรือ "อัตราการมีส่วนร่วม" เป็นการแสดงอัตราระหว่าง จำนวนของการมีส่วนร่วม เทียบกับ จำนวนคนเห็นโพส (Impression) ยกตัวอย่างเช่น จำนวน Engagement = 10 ขณะที่ Impression =100 เราจะได้เป็น 10/100 แปลว่า %Engagement = 10%
9. Click thru rate (%CTR)
%CTR คืออัตราส่วนระหว่างจำนวนคนคลิก (Link Click) กับ จำนวนคนเห็น (Impression) ทั้งนี้ถ้าจำนวนคลิกสูง อาจแปลได้ว่า โฆษณา หรือ สินค้าที่เราโฆษณา น่าสนใจ ผู้เห็นโฆษณาจึงคลิก เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม โดยคลิก เหมือนเป็นประตูของการพิจาณาสินค้า (Consideration) ในการดู Journey แบบ Full funnels.
10. Conversion rate (%CR)
%CR จะเป็นการคำนวณเปรียบเทียบระหว่าง จำนวนคอนเวอร์ชั่น กับ จำนวนคลิก (Link Click) โดย %CR จะเป็นสเต็ปต่อมาจาก %CTR เปรียบเทียบได้กับ %CTR แสดงให้เห็นว่าโฆษณาเราน่าสนใจไหม ในขณะที่ %CR คือเว็ปไซต์เราปิดการขายได้เก่งไหม โดยเราควรวิเคราะห์ %CTR และ %CR สม่ำเสมอเพื่อพัฒนาแคมเปญของเราให้ต้นทุนต่ำลง ซึ่งหมายถึงการได้กำไรที่เพิ่มขึ้นด้วย
11. Bounce rate (%BR)
Bounce rate ตามที่ได้เกริ่นในส่วนของ Website traffic ไว้ว่าถ้า Traffic สูง และ Bounce rate สูงด้วย อาจแปลได้ว่า เป็นการคลิกที่ไม่มีคุณภาพ หรืออาจแปลได้ว่าเนื้อหาเว็ปไซต์เราไม่มีคุณภาพก็ได้ ทั้งนี้ %Bounce rate จะนับเทียบกันระหว่าง คนที่เข้าเว็ปไซต์หน้าเดียวแล้วกดออก กับปริมาณคนเข้าเว็ปไซต์ทั้งหมด ดังนั้นคนที่เข้าเว็ปไซต์หน้าเดียวแล้วกดออก ก็เหมือนกับคนที่เปิดประตูร้านค้าแล้วออกเลย ไม่ทันเดินดูรอบๆร้าน
12. Cost per result (CPR)
Cost per result จริงๆแล้วอันนี้จะเป็นแนวคิดเพื่อให้เข้าใจตัวอื่นๆ เนื่องจากการที่เรามีต้นทุนมาเกี่ยวข้อง เราสามารถเปรียบเทียบต้นทุนของเรากับผลลัพธ์ต่างๆที่ได้ เนื่องจากการที่เรายิงแคมเปญไป 1 อัน ในบางแคมเปญเราอาจจะได้ทั้ง Impression, Video View, Click, Link Click, และ Conversion โดยเราสามารถเอาเงินที่ใช้โฆษณาทั้งหมด มาเทียบกับผลลัพธ์ต่างๆ เราจะสามารถเทียบได้เช่นกันว่า โฆษณาของเรามีประสิทธิภาพยังไงบ้าง และมีตรงไหนควรปรับปรุง เช่น Cost ของ Impression จะเรียกว่า CPM, Cost per Click = CPC, Cost per Convesion/Lead = CPL, หรือ Cost per View = CPV เป็นต้น ทั้งนี้ข้อควรระวังคือการคำนวณ CPM นั้น Impression ต้องเอา 1,000 มาหารก่อนทำการคำนวณ
Adsvantage Media
Mr. N
Comentários